ผลงานวิจัยในชั้นเรียน


           ตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ.2542  มีสาระสำคัญที่เน้นการปฏิรูปการศึกษา  โดยเฉพาะการปฏิรูปการเรียนการสอน ซึ่งในมาตรา 24  ได้กล่าวถึงการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มีการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ  การเผชิญสถานการณ์ และประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ปัญหา  จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา  ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้  รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนดารสอนและแหล่งวิทยากรต่างๆ

                มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอน สมารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา

                นอกจากนี้แนวทางการจัดหลักสูตรสถานศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กล่าวว่า เพื่อให้หลักสูตรบรรลุผลตามหลักการ ตุดหมาย โครงสร้างที่กำหนด สถานศึกษาต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ โดยการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรให้มีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลายสอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียน ให้ครูผู้สอนนำกระบวนการวิจัยมาผสมผสานหรือบูรณาการใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงคุณภาพและศักยภาพของผู้เรียน รวมทั้งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สามารถใช้กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ มีขั้นตอนปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนแก้ปัญหาหรือพัฒนา  การดำเนินการแก้ปัญหาหรือพัฒนา  การเก็บรวบรวมข้อมูล  การสรุปผล  การแก้ปัญหาหรือพัฒนา  การรายงานผลการเรียนรู้ และการนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้

                ดังนั้นการวิจัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับครูที่เป็นครูมืออาชีพ ผลการวิจัยจะทำให้ทราบว่าจะจัดการศึกษาอย่างไร จึงถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด และได้รับการพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ครูจึงต้องศึกษาวิจัยให้ได้ข้อสรุปว่า การจัดการเรียนรู้อย่างไรจึงจะเสริมสร้างกระบวนการคิด การฝึกทักษะการเผชิญสถานการณ์  และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ต้องสามารถใช้กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และสามารถทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน โดยเฉพาะในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

ผลงานวิจัยในชั้นเรียน ของ ครูกอบวิทย์   พิริยะวัฒน์  กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โรงเรียนนนทรีวิทยา มีดังนี้

ปีการศึกษา 2552

ชื่องานวิจัย การศึกษาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะ

หาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6  ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม

พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์

ผู้จัดทำ นายกอบวิทย์        พิริยะวัฒน์

 ข้าราชการครู  ตำแหน่งครูผู้ช่วย  กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนนนทรีวิทยา

บทคัดย่อ 

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6  ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์  เรื่อง   ซากดึกดำบรรพ์   (Fossils)

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้  เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่   6/1 โรงเรียนนนทรีวิทยา   แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random  Sampling) โดยวิธีการจับฉลากจากจำนวนนักเรียน   8   ห้องเรียน มา  1  ห้องเรียน           ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง   46   คน

เครื่องมือที่ใช้เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้  จำนวน  1  แผน  เวลา  6  ชั่วโมง  ชุดกิจกรรมการเรียนรู้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์  เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์  ( Fossils) และแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์

แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest – Posttest Design

การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการทางสถิติ t – test Dependent Sample

ผลการวิจัยสรุปได้ว่า  ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์  เรื่อง   ซากดึกดำบรรพ์   (Fossils)  หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ชื่อเรื่อง รายงานผลการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน แบบจำลองแสดงความสัมพันธ์ ในการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์  โลก และดวงจันทร์

ผู้จัดทำ นายกอบวิทย์        พิริยะวัฒน์   ข้าราชการครู  ตำแหน่งครูผู้ช่วย  กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนนนทรีวิทยา

บทคัดย่อ

สื่อการเรียนการสอน แบบจำลองแสดงความสัมพันธ์ในการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์  โลก และดวงจันทร์ ได้ศึกษาวิธีการสร้างแบบจำลอง เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ในการเคลื่อนที่ของ ดวงอาทิตย์  โลก และดวงจันทร์ โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย  ราคาไม่แพงและสามารถประกอบขึ้นได้ง่าย  เพื่อทดแทนการสั่งซื้อจากต่างประเทศ ที่มีราคาแพงมาก  ตลอดจน สามารถใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ  โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ

1. เพื่อสร้างสื่อการเรียนการสอน แบบจำลองแสดงความสัมพันธ์ในการเคลื่อนที่ ของดวงอาทิตย์  โลก และดวงจันทร์

2.  เพื่อสร้างสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพในการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ในสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์  สาระที่ 7  เรื่อง ดาราศาสตร์และอวกาศ

ผลการศึกษา พบว่า

1.   สื่อการเรียนการสอนแบบจำลองแสดงความสัมพันธ์ในการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์  โลกและดวงจันทร์ สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นได้ถูกต้องและสอดคล้องกับทฤษฎีของความสัมพันธ์ในการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์  โลก และดวงจันทร์

2.  สื่อการเรียนการสอนแบบจำลองแสดงความสัมพันธ์ในการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์  โลกและดวงจันทร์ มีคุณภาพทางด้านลักษณะทางกายภาพทั่วไป  ลักษณะการใช้งาน และความเหมาะสม   ในการนำไปประกอบการเรียนการสอน อยู่ในระดับ ดีมาก

ชื่อเรื่อง การประเมินหลักสูตร ในด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ของรายวิชา ว 21101 วิทยาศาสตร์ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนนนทรีวิทยา พุทธศักราช 2552 โดยใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยแซงค์

ผู้จัดทำ นายกอบวิทย์        พิริยะวัฒน์   ข้าราชการครู  ตำแหน่งครูผู้ช่วย  กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนนนทรีวิทยา

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการประเมินหลักสูตร ในด้านกิจกรรมการเรียนการสอน  ของรายวิชา ว 21101 วิทยาศาสตร์ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนนนทรีวิทยา พุทธศักราช 2552  โดยใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยแซงค์  โดยมีความมุ่งหมาย เพื่อเป็นการประเมินหลักสูตร ให้ทราบถึงคุณภาพของหลักสูตรในด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ของรายวิชา ว 21101 วิทยาศาสตร์ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนนนทรีวิทยา พุทธศักราช 2552   ผลการวิจัยพบว่า จากผลการวิเคราะห์กิจกรรมการเรียนการสอนและหาน้ำหนักแต่ละช่องของตารางวิเคราะห์ของปุยแซงค์ ได้ค่าคุณภาพของหลักสูตร (P.M.)  เท่ากับ  6.228316 ซึ่งแปลผลได้ว่า กิจกรรมการเรียนการสอนของรายวิชา ว 21101 วิทยาศาสตร์ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนนนทรีวิทยา พุทธศักราช 2552  มีคุณภาพอยู่ในช่วงปานกลางหรือใช้ได้

ปีการศึกษา 2553 

ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ป่าชายเลน และความตระหนักต่อป่าชายเลน ของนักเรียนโรงเรียนนนทรีวิทยา โดยการจัดกิจกรรมโครงการสนองพระราชเสาวนีย์  ลูกนนทรีอาสา ปลูกป่าชายเลน  พิทักษ์นครหลวง

         การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความตระหนักต่อป่าชายเลนของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโครงการสนองพระราชเสาวนีย์ ลูกนนทรีอาสา ปลูกป่าชายเลน  พิทักษ์นครหลวง ของนักเรียนโรงเรียนนนทรีวิทยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เป็นสมาชิกชุมนุมนนทรีวิทยาสร้างจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม จำนวน 70 คน ได้จากการเลือกแบบเจาะจง ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 1  ปีการศึกษา 2553 ใช้เวลา12 ชั่วโมง การวิเคราะห์ข้อมูลโดยทดสอบความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนเและหลังทำกิจกรรม ด้วยการทดสอบค่าทีแบบ t-test for dependent samples ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า

                1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องป่าชายเลน หลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนร่วมกิจกรรมโครงการสนองพระราชเสาวนีย์  ลูกนนทรีอาสา ปลูกป่าชายเลน  พิทักษ์นครหลวง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ  .01 

                2. ความตระหนักต่อป่าชายเลนหลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนร่วมกิจกรรมโครงการสนองพระราชเสาวนีย์  ลูกนนทรีอาสา  ปลูกป่าชายเลน  พิทักษ์นครหลวง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ  .01

ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กลวิธีเมตาคอคนิชันในการแก้โจทย์ปัญหาวิทยาศาสตร์ โดย นายกอบวิทย์   พิริยะวัฒน์

            การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีเมตาคอคนิชันในการแก้โจทย์ปัญหาวิทยาศาสตร์ 

                   ประชากรเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนนนทรีวิทยา จำนวน 60 คน จำนวน 20 ชั่วโมง ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 2 ห้องเรียน แล้วสุ่มอย่างง่ายอีกครั้งหนึ่ง โดยวิธีจับฉลากเป็นกลุ่มทดลองที่ 1 ดำเนินการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และกลุ่มทดลองที่ 2 ดำเนินการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กลวิธีเมตาคอคนิชันในการแก้โจทย์ปัญหาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ Nonrandomized control group pretest-posttest design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์แบบปรนัยมีค่าความเชื่อมั่น .92  และแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์แบบปรนัยมีความเชื่อมั่น .94  การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการทางสถิติแบบ  t-test Dependent Samples และ t-test for Independent Sample ในรูป Difference Score

                   ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้

                   1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กับนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีเมตาคอคนิชันในการแก้โจทย์ปัญหาวิทยาศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

                   2.   นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

                   3.   นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีเมตาคอคนิชันในการแก้โจทย์ปัญหาวิทยาศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

                   4.   นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กับนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีเมตาคอคนิชันในการแก้โจทย์ปัญหาวิทยาศาสตร์ มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

                   5.   นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

                   6.   นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีเมตาคอคนิชันในการแก้โจทย์ปัญหาวิทยาศาสตร์ มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

 เผยแพร่บทความวิจัย

 

ดาวน์โหลด คลิ๊กที่นี่ Powerpoint นำเสนองานวิจัยนานาชาติ มศว นายกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์

                              บทความวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ โดยนายกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์

 ดาวน์โหลดแบบฟอร์มการเขียนรายงานการวิจัย คลิกที่นี่

แบบฟอร์มประเมินโครงการใหม่

แบบฟอร์มการเขียนวิจัย 5 บท

ดาวน์โหลด Powerpoint ที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการวิจัยของ รศ.ดร.มนสิช สิทธิสมบูรณ์ คณะศึกษาศาสตร์ ม.นเรศวร คลิกที่นี้

การทำวิจัยเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ

แนวคิดการประเมินโครงการ

ดูรายละเอียดเกี่ยวกับการวัดผลและการวิจัย ที่เง็บไซต์ www.watpon.com

 

  1. ขอบคุณแทนนักเรียนและคุณครูทั่วประเทศคะ

  2. ขออนุญาตแชร์ผลงานวิจัยของคุณครูไปเป็นแนวทางใช้พัฒนานักเรียนหน่อยนะครับขอบคุณมากสำหรับการแบ่งปันความรู้ครับ

ส่งความเห็นที่ teacherkobwit2010 ยกเลิกการตอบ